นำหน้าคนอื่น 1 ก้าวยังไง? 10 แนวคิด เปลี่ยนตัวเองปี 2025

  • 16 ม.ค. 2568
  • 0
หางาน,สมัครงาน,งาน,นำหน้าคนอื่น 1 ก้าวยังไง? 10 แนวคิด เปลี่ยนตัวเองปี 2025

 

ทุกวันนี้การแข่งขันในทุกด้านเกิดขึ้นเร็วมาก การก้าวนำคนอื่นแค่ 1 ก้าว ก็ช่วยให้เราโดดเด่นขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัว แต่การจะทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่ตามกระแสหรือใช้วิธีเดิมๆ ที่เคยทำ การเปลี่ยนตัวเองด้วยไอเดียใหม่ๆ ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเองและไปได้ไกลกว่าเดิม ต้นปีแบบนี้ หลายคนก็คงเริ่มตั้งเป้าหมาย New Year Resolution กันอยู่ใช่ไหม? มาลองใช้ 10 แนวคิดที่จะช่วยเปลี่ยนตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่า พร้อมลุยทุกความท้าทายในปี 2025

 

1. พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น 1% ในทุกๆ วัน

หลายคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าการเปลี่ยนนั้นช่วยให้ชีวิตหรือการงานของเราดีขึ้น (แม้จะต้องฝืนใจทำ) ก็คุ้มค่าที่จะลอง การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องทำครั้งใหญ่ในทันที แต่เริ่มจากปรับปรุงตัวเองทีละนิด เช่น พัฒนาวันละ 1% ซึ่งเมื่อทำต่อเนื่องครบ 365 วัน คุณจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง

 

James Clear ผู้เขียน Atomic Habits กล่าวไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ทำอย่างต่อเนื่องสามารถสร้างผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ได้ หากพัฒนา 1% ในทุกๆ วัน เมื่อครบ 1 ปี คุณจะดีขึ้นถึง 38 เท่า ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น ลองเริ่มต้นตื่นเช้าขึ้นวันละ 5 นาที แล้วค่อยๆ ขยับเป็น 10 นาที 15 นาที จนถึง 2 ชั่วโมง เป้าหมายคือทำให้เป็นนิสัยที่ต่อเนื่อง เมื่อคุณเริ่มเห็นผลลัพธ์ จะช่วยให้คุณรู้สึกภูมิใจและลดความรู้สึกด้านลบต่อการทำงานไปโดยธรรมชาติ

 

จำไว้ว่า “ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องเกิดขึ้นในวันเดียว แต่เกิดจากการพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอทีละเล็กละน้อย”

 

2. ฝึกพูดคำว่า “ไม่” เพื่อรักษาขอบเขตการทำงานของตัวเอง

หลายครั้งที่เราตอบรับทุกคำขอเพราะอยากช่วยเหลือ หรือกลัวเสียภาพลักษณ์ว่าเป็นคนไม่ใจดี การ Say Yes อาจทำให้คุณดูน่ารักในสายตาคนอื่น แต่ก็อาจสร้างภาระหนักเกินไปจนส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพงาน เช่น งานไม่เสร็จทันเวลา ความเครียดสะสม หรือหมดไฟในการทำงาน

 

ลองฝึกพูดคำว่า “ไม่” ในเวลาที่จำเป็น เช่น เมื่อมีคนขอให้ช่วยงานแทรกเข้ามา แต่คุณรู้ว่างานหลักที่ต้องทำในวันนั้นยังไม่เสร็จ หรือมีความซับซ้อนและยุ่งเหยิงอยู่ การปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนไม่ดี แต่เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบและการจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน การกำหนดขอบเขตการทำงานที่เหมาะสมช่วยให้คุณโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริงๆ และส่งมอบงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเสียพลังไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่าลืมว่า การดูแลตัวเองก่อน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสร้างผลงานที่ดีที่สุดในระยะยาว

 

3. จัดลำดับความสำคัญของงาน และคัดกรองสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป

ถ้าคุณอยากทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเริ่มต้นจาก “กำจัดงานที่ไม่มีความจำเป็น” ลองมองภาพรวมของสิ่งที่ต้องทำ แล้วแยกงานสำคัญที่ต้องเสร็จวันนี้ออกจากงานหยุมหยิมที่สามารถรอได้ การคัดกรองงานช่วยให้คุณมีสมาธิกับสิ่งที่สำคัญที่สุด และลดโอกาสเกิดความเครียดจากการพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน

 

จัดลำดับความสำคัญ โดยเริ่มจากงานที่ใช้เวลามากหรือส่งผลกระทบสูงก่อน จากนั้นค่อยเก็บงานเล็กๆ ที่ใช้เวลาน้อยไว้ทำทีหลัง วิธีนี้ช่วยให้คุณไม่ต้องรีบร้อนในนาทีสุดท้ายกับงานชิ้นใหญ่ที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลองกำหนด ตารางเวลาสำหรับแต่ละงาน เช่น แบ่งช่วงเวลาเฉพาะสำหรับงานสำคัญในตอนเช้า และใช้เวลาที่เหลือในช่วงบ่ายสำหรับงานที่รองลงมา เมื่อคุณทำเช่นนี้เป็นประจำ จะช่วยให้คุณบริหารเวลาได้ดีขึ้น และลดความรู้สึกว่าทุกอย่างล้นมือ งานก็จะเสร็จตรงตามเป้าหมายและด้วยคุณภาพที่ดีขึ้น

 

4. แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทำงานเสร็จได้แบบไม่เครียด

ถ้างานที่ต้องทำดูเยอะจนล้นมือ หรือเป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่กินเวลายาวนาน การพยายามทำให้เสร็จในคราวเดียวอาจสร้างความเครียดและกดดันมากเกินไป วิธีง่ายๆ ที่ช่วยจัดการได้คือ “แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ”

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องเตรียมเอกสาร 50 ชุด การทำให้เสร็จทั้งหมดในครั้งเดียวอาจดูเป็นงานหนักเกินไป แต่ถ้าคุณตั้งเป้าหมายย่อย เช่น ทำทีละ 10 ชุด พร้อมกำหนดเดดไลน์ย่อยในแต่ละช่วง จะช่วยให้คุณโฟกัสกับงานได้ทีละขั้นตอน และลดความรู้สึกกังวลลง การทำงานแบบนี้ช่วยให้คุณจัดการเวลาและพลังงานได้ดีขึ้น งานใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและดูไม่หนักเกินไป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานเสร็จตามกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

 

5. อย่าติดกับดัก Impostor Syndrome “คุณเก่งและคู่ควรกับความสำเร็จ”

เคยรู้สึกไหมว่า “เรายังไม่เก่งพอ” หรือ “ความสำเร็จที่ได้มาเป็นเพราะโชคช่วย” นี่คือภาวะที่เรียกว่า Impostor Syndrome ซึ่งทำให้เราสงสัยในความสามารถของตัวเองและรู้สึกไม่คู่ควรกับความสำเร็จ แม้ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ตาม คริสตินา เฮเลนา วิทยากร TEDx ระบุว่า กว่า 80% ของคนทั่วไปเคยเจอกับความรู้สึกนี้

 

วิธีแก้คือ ให้ถามตัวเองว่า “ทำไมเราถึงคิดแบบนี้?” แล้วลองมองย้อนกลับไปที่สิ่งที่เราลงแรงทำมา ความสำเร็จของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความพยายามของตัวเอง จงยอมรับว่าคุณสมควรได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิต เพราะทุกความสำเร็จที่ผ่านมาล้วนเกิดจากการทำงานหนักของคุณเอง อย่าปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้ฉุดรั้งตัวคุณจากการก้าวไปข้างหน้า

 

6. ทบทวน Career Cycle และเส้นทางอาชีพของตัวเองอยู่เสมอ

เคยรู้สึกหมดไฟ หรือไม่มั่นใจว่าอาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้มันใช่สำหรับเราไหม? ถ้าคำตอบคือใช่ การหยุดทบทวนเส้นทางอาชีพของตัวเองสักครั้งอาจเป็นสิ่งที่ควรทำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า “การติดอยู่กับความรู้สึกเชิงลบไม่ได้ช่วยให้เราก้าวหน้า แต่การเปิดมุมมองใหม่ๆ ต่างหากที่จะช่วยสร้างโอกาส”

 

เริ่มจากการถามตัวเองว่า “เรายังรักในสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่?” พร้อมประเมินทักษะและจุดแข็งของตัวเองว่ามีอะไรที่สามารถนำไปต่อยอดได้บ้าง จากนั้นลองค้นหาเทรนด์หรือโอกาสใหม่ๆ ในสายงานที่สนใจ และวางแผนเป้าหมายคร่าวๆ เช่น “ปีนี้อยากพัฒนาทักษะอะไร ก้าวไปสู่ตำแหน่งไหน หรือสร้างรายได้เท่าไร” เพื่อช่วยลำดับความคิดและกำหนดเส้นทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง หากพบว่าที่เดิมไม่ตอบโจทย์เราอีกต่อไป การเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือโอกาสในการเติบโต การเดินไปข้างหน้าพร้อมเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณกลับมามีไฟและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง

 

7. เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่และพัฒนาทักษะการทำงานอยู่เสมอ

ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณก้าวทันโลก ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้คุณโดดเด่นในสายงานมากขึ้น

 

ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากงานของคุณเกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ ลองฝึกพิมพ์สัมผัสเพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน หรือหากต้องทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ ทักษะภาษาอังกฤษคือสิ่งที่ควรพัฒนาเพิ่มเติม เพราะการสื่อสารที่คล่องแคล่วจะช่วยให้คุณประสานงานได้ง่ายขึ้น และส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น สิ่งสำคัญคืออย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการลงคอร์สเรียนออนไลน์ การอ่านหนังสือเสริมความรู้ หรือแม้แต่การเปิดใจรับฟังมุมมองใหม่ๆ จากเพื่อนร่วมงาน เพราะทุกสิ่งที่คุณเรียนรู้ในวันนี้ อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในวันพรุ่งนี้

 

8. เห็นคุณค่าของงานที่ตัวเองทำเสมอ

การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของงานที่ตัวเองทำก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะการเข้าใจว่างานของเราเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาองค์กร หรือสร้างผลดีต่อสังคม จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการทำงานมากขึ้น รู้สึกมีคุณค่าและภูมิใจในสิ่งที่ทำ

 

ถ้าคุณเห็นภาพรวมของงานที่ทำและรู้ว่าเรามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า คุณจะรู้สึกมีพลังในการทำงานมากขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง หากคุณไม่รู้คุณค่าของงานที่ทำ อาจทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำและเกิดภาวะ Burn Out ได้ง่ายขึ้น

 

9. ให้ความช่วยเหลือคนอื่น และรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเช่นกัน

การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ แต่การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานก็ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่อเราช่วยคนอื่น เรากำลังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีม ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจและการทำงานเป็นทีมที่ดี ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในองค์กรและทำให้เรามีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานมากขึ้น

 

ที่สำคัญ การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย หากเราเจอปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยากเกินไป การขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานจะช่วยให้เราเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน การขอความช่วยเหลือไม่ได้แสดงถึงจุดอ่อน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานร่วมกันเพื่อให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน

 

10. เอาชนะ “ความกลัวความล้มเหลว” ของตนเองให้ได้

หลายคนมักกลัวความล้มเหลวจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วความกลัวนี้อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเติบโตของเราในเส้นทางอาชีพ การกลัวอาจทำให้เราหยุดนิ่ง ไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ หรือก้าวออกจากโซนที่ปลอดภัยของตัวเอง

 

ทางออกคือการสร้างความมั่นใจในตัวเองและมองไปข้างหน้าว่าความสำเร็จที่รออยู่คืออะไร แทนที่จะจมอยู่กับความกลัวว่าจะล้มเหลว ลองถามตัวเองว่า ถ้าคุณประสบความสำเร็จจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองคิดถึงโอกาสและประโยชน์ที่จะได้รับจากความสำเร็จแทนที่จะมองแต่ด้านลบของการล้มเหลว อย่าลืมว่า ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ทุกความผิดพลาดคือบทเรียนที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้น ความสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้จากมันอย่างไร และเอาความผิดพลาดเหล่านั้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร หากสามารถทำเช่นนี้ได้ คุณจะสามารถเอาชนะความกลัวและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

 

ลองใช้แนวคิดนี้เพื่อพัฒนาตัวเองในปี 2025 แม้การเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยก็ยังทำให้ชีวิตเราดีขึ้นกว่าการไม่พยายามอะไรเลยและยืนนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งมันเหมือนกับการถอยหลังในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน แค่ค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด คุณจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จากความพยายามนี้แน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ

จาก : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1159773

 

สอบถามเพิ่มเติมสำหรับ HR 

อีเมล : [email protected]

หางานตามสาขาอาชีพ

JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved

jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด DBD

Top